Header

คุณแม่เตรียมคลอด รู้เท่าทัน! เบาหวานขณะตั้งครรภ์ อันตรายทั้งแม่และลูก

23 กรกฎาคม 2567

รู้ทัน! เบาหวานขณะตั้งครรภ์ อันตรายทั้งแม่และลูก

เบาหวานขณะตั้งครรภ์ หรือ Gestational Diabetes Mellitus (GDM)) เป็นภาวะที่ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นในช่วงตั้งครรภ์ ภาวะนี้พบได้บ่อยในผู้หญิงที่ตั้งครรภ์ ประมาณ 2-7% แม้จะไม่ส่งผลร้ายแรงต่อมารดาในทันที แต่หากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม อาจส่งผลต่อสุขภาพของทั้งแม่และทารกในครรภ์ได้

 

เบาหวานขณะตั้งครรภ์คืออะไร?

     เบาหวานขณะตั้งครรภ์ เกิดขึ้นเมื่อร่างกายของคุณแม่ไม่สามารถผลิตฮอร์โมนอินซูลินได้เพียงพอ หรือไม่สามารถใช้ฮอร์โมนอินซูลินได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลต่อระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติ ฮอร์โมนอินซูลิน มีหน้าที่นำน้ำตาลจากเลือดเข้าสู่เซลล์เพื่อใช้เป็นพลังงาน เมื่อร่างกายขาดอินซูลิน หรือใช้ฮอร์โมนอินซูลินได้ไม่ดี น้ำตาลจะสะสมอยู่ในเลือดมากขึ้น ส่งผลต่อสุขภาพของทั้งแม่และทารก
 

สาเหตุของเบาหวานขณะตั้งครรภ์

     สาเหตุของเบาหวานขณะตั้งครรภ์เกิดจาก ฮอร์โมนที่รกสร้างขึ้นระหว่างตั้งครรภ์ อาจส่งผลต่อการทำงานของอินซูลิน ทำให้ร่างกายดื้อต่ออินซูลิน ส่งผลต่อระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น
 

ปัจจัยที่อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อ เบาหวานขณะตั้งครรภ์

  • อายุ : ผู้หญิงที่มีอายุ 25 ปีขึ้นไป มีโอกาสเป็น เบาหวานขณะตั้งครรภ์ มากขึ้น
  • น้ำหนักตัว : ผู้หญิงที่มีน้ำหนักตัวเกินหรือเป็นโรคอ้วนก่อนตั้งครรภ์ มีโอกาสสูงที่จะเป็น เบาหวานขณะตั้งครรภ์
  • ประวัติครอบครัว : ผู้หญิงที่มีสมาชิกในครอบครัวเป็นโรคเบาหวาน จะเพิ่มโอกาสการเป็น เบาหวานขณะตั้งครรภ์
  • ประวัติการตั้งครรภ์ : ผู้หญิงที่เคยเป็น เบาหวานขณะตั้งครรภ์ มาก่อน จะมีโอกาสเป็น เบาหวานขณะตั้งครรภ์ ในการตั้งครรภ์ครั้งถัดไป
  • การตั้งครรภ์แฝด : ผู้หญิงที่ตั้งครรภ์แฝด มีโอกาสเป็น เบาหวานขณะตั้งครรภ์ มากกว่าการตั้งครรภ์ปกติ

 

ผลกระทบของเบาหวานขณะตั้งครรภ์

     คุณแม่ที่เป็น เบาหวานขณะตั้งครรภ์ หากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพของทั้งแม่และทารกในครรภ์ ดังนี้

 

  ผลกระทบต่อทารก

  • ทารกตัวโต (macrosomia)
  • คลอดก่อนกำหนด (preterm birth)
  • เสี่ยงต่อการเสียชีวิตในครรภ์ (stillbirth)
  • ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำหลังคลอด (neonatal hypoglycemia)
  • เสี่ยงต่อโรคอ้วนและโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ในวัยเด็ก
  • เสี่ยงต่อปัญหาการเรียนรู้และพัฒนาการ

  ผลกระทบต่อคุณแม่

  • ครรภ์เป็นพิษ (preeclampsia)
  • คลอดก่อนกำหนด (preterm birth)
  • ไม่สามารถคลอดแบบธรรมชาติได้ เพราะทารกตัวใหญ่กว่าปกติ
  • มีโอกาสเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 (type 2 diabetes) ในอนาคต

 

วิธีการวินิจฉัยเบาหวานขณะตั้งครรภ์

     แพทย์จะวินิจฉัย เบาหวานขณะตั้งครรภ์ โดยทำการตรวจเลือด โดยปกติการตรวจจะทำในช่วงระหว่างสัปดาห์ที่ 24-28 ของการตั้งครรภ์

 

การตรวจคัดกรอง เบาหวานขณะตั้งครรภ์ ประกอบด้วย

          1. การตรวจ 50 กรัม GCT (Glucose Challenge Test)  เป็นการตรวจคัดกรองเบาหวานขณะตั้งครรภ์ ที่สะดวก รวดเร็ว และไม่ต้องงดอาหารก่อนตรวจ โดยทำดังนี้

วิธีการตรวจ

  1. รับประทานน้ำตาลกลูโคส 50 กรัม ละลายน้ำ โดยไม่ต้องงดอาหาร

  2. เจาะเลือดหลังรับประทานน้ำตาล 1 ชั่วโมง

  3. เปรียบเทียบระดับน้ำตาลในเลือดกับเกณฑ์

เกณฑ์การวินิจฉัย :

  • ระดับน้ำตาลในเลือดมากกว่า 140 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร (mg/dL) ถือว่าผิดปกติ
  • หากพบค่าผิดปกติ ควรได้รับการตรวจเพิ่มเติมด้วย 100 กรัม OGTT

ข้อดีของการตรวจ 50 กรัม GCT :

  • สะดวก รวดเร็ว ไม่ต้องงดอาหารก่อนตรวจ
  • ช่วยคัดกรองผู้หญิงที่มีความเสี่ยงเป็น เบาหวานขณะตั้งครรภ์ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • เป็นการเริ่มต้นการวินิจฉัย เบาหวานขณะตั้งครรภ์ ได้อย่างรวดเร็ว

ข้อจำกัดของการตรวจ 50 กรัม GCT :

  • ผลตรวจอาจคลาดเคลื่อนได้ หากมีปัจจัยอื่นๆ ที่ส่งผลต่อระดับน้ำตาลในเลือด เช่น การทานยาบางชนิด การติดเชื้อ หรือความเครียด
  • ไม่สามารถวินิจฉัย เบาหวานขณะตั้งครรภ์ ได้อย่างชัดเจน จำเป็นต้องตรวจเพิ่มเติมด้วย 100 กรัม OGT

การเตรียมตัวก่อนตรวจ :

  • แจ้งแพทย์หรือเจ้าหน้าที่เกี่ยวกับยาที่ทานอยู่
  • แจ้งแพทย์หรือเจ้าหน้าที่เกี่ยวกับโรคประจำตัว เช่น โรคไต โรคตับ
  • แจ้งแพทย์หรือเจ้าหน้าที่เกี่ยวกับการตั้งครรภ์แฝด
  • งดสูบบุหรี่ในวันตรวจ

หลังการตรวจ :

  • รอผลตรวจประมาณ 1-2 ชั่วโมง
  • หากผลตรวจปกติ แพทย์จะนัดตรวจติดตามตามปกติ
  • หากผลตรวจผิดปกติ แพทย์จะแนะนำให้ตรวจเพิ่มเติมด้วย 100 กรัม OGTT

 

          2. การตรวจ 100 กรัม OGTT (Oral Glucose Tolerance Test)  เป็นวิธีมาตรฐานในการวินิจฉัยเบาหวานขณะตั้งครรภ์ โดยให้คุณแม่ตั้งครรภ์ดื่มน้ำตาลกลูโคส แล้วเจาะเลือดเพื่อตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือด ในช่วงเวลาที่กำหนด บทความนี้มุ่งนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับการตรวจ 100 กรัม OGTT อย่างละเอียด ครอบคลุมทุกขั้นตอน

ขั้นตอนการตรวจ :

  1. งดอาหาร 8 ชั่วโมงก่อนตรวจ ดื่มน้ำเปล่าได้ตามปกติ

  2. เจาะเลือดเพื่อตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือดขณะอดอาหาร (Fasting blood sugar - FBS)

  3.  รับประทานน้ำตาลกลูโคส 100 กรัม ผสมน้ำมะนาวเพื่อลดอาการคลื่นไส้อาเจียน

  4. เจาะเลือดเพื่อตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือด หลังรับประทานน้ำตาล 1 ชั่วโมง 2 ชั่วโมง และ 3 ชั่วโมงตามลำดับ

เกณฑ์การวินิจฉัย :

  • ระดับน้ำตาลในเลือดมากกว่า 140 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร (mg/dL) ถือว่าผิดปกติ
  • หากพบค่าผิดปกติ ควรได้รับการตรวจเพิ่มเติมด้วย 100 กรัม OGTT

ข้อดีของการตรวจ 50 กรัม GCT :

  • สะดวก รวดเร็ว ไม่ต้องงดอาหารก่อนตรวจ
  • ช่วยคัดกรองผู้หญิงที่มีความเสี่ยงเป็น เบาหวานขณะตั้งครรภ์ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • เป็นการเริ่มต้นการวินิจฉัย เบาหวานขณะตั้งครรภ์ ได้อย่างรวดเร็ว

ข้อจำกัดของการตรวจ 50 กรัม GCT :

  • ผลตรวจอาจคลาดเคลื่อนได้ หากมีปัจจัยอื่นๆ ที่ส่งผลต่อระดับน้ำตาลในเลือด เช่น การทานยาบางชนิด การติดเชื้อ หรือความเครียด
  • ไม่สามารถวินิจฉัย เบาหวานขณะตั้งครรภ์ ได้อย่างชัดเจน จำเป็นต้องตรวจเพิ่มเติมด้วย 100 กรัม OGT

การเตรียมตัวก่อนตรวจ :

  • แจ้งแพทย์หรือเจ้าหน้าที่เกี่ยวกับยาที่ทานอยู่
  • แจ้งแพทย์หรือเจ้าหน้าที่เกี่ยวกับโรคประจำตัว เช่น โรคไต โรคตับ
  • แจ้งแพทย์หรือเจ้าหน้าที่เกี่ยวกับการตั้งครรภ์แฝด
  • งดสูบบุหรี่ในวันตรวจ

หลังการตรวจ :

  • รอผลตรวจประมาณ 1-2 ชั่วโมง
  • หากผลตรวจปกติ แพทย์จะนัดตรวจติดตามตามปกติ
  • หากผลตรวจผิดปกติ แพทย์จะแนะนำให้ตรวจเพิ่มเติมด้วย 100 กรัม OGTT

 

แนวทางการรักษาเบาหวานขณะตั้งครรภ์

     เป้าหมายของการรักษา เบาหวานขณะตั้งครรภ์ คือ ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในช่วงที่ปลอดภัยสำหรับทั้งแม่และทารก โดยทั่วไปแล้ว แพทย์จะแนะนำให้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ดังนี้

  • ควบคุมอาหาร : นักโภชนาการจะช่วยจัดแผนอาหารที่เหมาะสมกับคุณ โดยคำนึงถึงความต้องการสารอาหารของร่างกาย ควบคู่ไปกับการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
  • ออกกำลังกาย : แพทย์จะแนะนำประเภทและความหนักหน่วงของการออกกำลังกายที่เหมาะสมกับสภาพร่างกาย
  • ตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือด : คุณอาจจำเป็นต้องตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือดด้วยตัวเองเป็นประจำ ตามคำแนะนำของแพทย์
  • ใช้ยา: ในบางกรณี แพทย์อาจสั่งยาเพื่อช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด เช่น ยาเม็ดหรืออินซูลิน

 

การติดตามผลการรักษา

     คุณจะต้องพบแพทย์เป็นประจำ เพื่อติดตามผลการรักษา ตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือด ตรวจสุขภาพทารก และปรับแผนการรักษาตามความเหมาะสม
 

การป้องกันเบาหวานขณะตั้งครรภ์

1. รักษาน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ 

  • ผู้หญิงที่มีน้ำหนักตัวเกินหรือเป็นโรคอ้วนก่อนตั้งครรภ์ มีโอกาสเป็น เบาหวานขณะตั้งครรภ์ มากกว่า
  • การลดน้ำหนักแม้เพียงเล็กน้อย ก็สามารถช่วยลดความเสี่ยงได้
  • ปรึกษาแพทย์หรือนักโภชนาการ เพื่อวางแผนควบคุมน้ำหนักที่เหมาะสม

2. ทานอาหารที่มีประโยชน์

  • เลือกรับประทานอาหารที่มีใยอาหารสูง แป้ง และโปรตีน
  • จำกัดการทานอาหารที่มีน้ำตาลและไขมันอิ่มตัว
  • ทานผักผลไม้ ธัญพืชไม่ขัดสี เนื้อสัตว์ไขมันต่ำ ปลา ไข่ ถั่ว และนมพร่องมันเนย
  • หลีกเลี่ยงอาหารแปรรูป อาหารฟาสต์ฟู้ด และเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง

3. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ 

  • การออกกำลังกายอย่างน้อย 30 นาทีต่อวัน 3-5 วันต่อสัปดาห์ สามารถช่วยควบคุมน้ำหนัก เพิ่มความไวต่ออินซูลิน และลดความเสี่ยงของ เบาหวานขณะตั้งครรภ์
  • เลือกกิจกรรมที่คุณชอบ เช่น เดินเร็ว ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน โยคะ หรือเต้นแอโรบิก
  • ปรึกษาแพทย์ก่อนเริ่มโปรแกรมออกกำลังกาย โดยเฉพาะหากมีโรคประจำตัว

4. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ 

  • การนอนหลับไม่เพียงพอ ส่งผลต่อระดับฮอร์โมนที่ควบคุมน้ำตาลในเลือด
  • นอนหลับพักผ่อน 7-9 ชั่วโมงต่อคืน
  • สร้างบรรยากาศการนอนหลับที่ดี เช่น ปิดไฟ ปิดเสียงรบกวน และปรับอุณหภูมิห้องให้เหมาะสม

5. วางแผนการตั้งครรภ์

  • หากคุณมีปัจจัยเสี่ยงต่อ เบาหวานขณะตั้งครรภ์ ปรึกษาแพทย์ก่อนตั้งครรภ์ เพื่อวางแผนการดูแลสุขภาพที่เหมาะสม
  • แพทย์อาจแนะนำให้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม การรับประทานยาบางชนิด หรือติดตามผลการตั้งครรภ์อย่างใกล้ชิด

6. ตรวจสุขภาพก่อนตั้งครรภ์ 

  • การตรวจสุขภาพก่อนตั้งครรภ์ ช่วยให้ทราบปัจจัยเสี่ยงต่อ เบาหวานขณะตั้งครรภ์และเตรียมพร้อมรับมือกับภาวะนี้
  • แพทย์อาจแนะนำให้ปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต หรือตรวจคัดกรอง เบาหวานขณะตั้งครรภ์ ในช่วงต้นของการตั้งครรภ์

7. ตรวจคัดกรอง เบาหวานขณะตั้งครรภ์

  • ผู้หญิงที่มีปัจจัยเสี่ยงต่อ เบาหวานขณะตั้งครรภ์ ควรได้รับการตรวจคัดกรอง เบาหวานขณะตั้งครรภ์ ในช่วงระหว่างสัปดาห์ที่ 24-28 ของการตั้งครรภ์
  • การตรวจคัดกรอง เบาหวานขณะตั้งครรภ์ ช่วยให้วินิจฉัยได้เร็ว และเริ่มต้นการรักษาได้ทันท่วงที

8. ปรึกษาแพทย์หรือนักโภชนาการ

  • ปรึกษาแพทย์หรือนักโภชนาการ เพื่อวางแผนการดูแลสุขภาพที่เหมาะสม
  • แพทย์หรือนักโภชนาการ สามารถให้คำแนะนำเกี่ยวกับการควบคุมน้ำหนัก การทานอาหาร การออกกำลังกาย และการป้องกัน เบาหวานขณะตั้งครรภ์ ได้

 

คำแนะนำสำหรับคุณแม่ที่เป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์

  • ปฏิบัติตามแนวทางการรักษาที่แพทย์แนะนำอย่างเคร่งครัด:ทานอาหาร ออกกำลังกาย ตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือด และรับประทานยาตามคำแนะนำ
  • ติดตามผลการรักษาเป็นประจำ พบแพทย์ตามนัด ตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือด ตรวจดูการเติบโตของทารกในครรภ์ และปรับแผนการรักษาตามความเหมาะสม
  • ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับ เบาหวานขณะตั้งครรภ์:การศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับ เบาหวานขณะตั้งครรภ์ จะช่วยให้เข้าใจวิธีการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ผลกระทบต่อสุขภาพของแม่และทารก และแนวทางการรักษา
  • ดูแลสุขภาพจิตเบาหวานขณะตั้งครรภ์ อาจสร้างความเครียดและกังวล ปรึกษาแพทย์ นักจิตวิทยา เพื่อดูแลสุขภาพจิต
  • ทานอาหารที่มีประโยชน์: เลือกทานอาหารที่มีใยอาหารสูง คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน และโปรตีน จำกัดการทานอาหารที่มีน้ำตาลและไขมันอิ่มตัว
  • ดื่มน้ำให้เพียงพอ ดื่มน้ำเปล่าอย่างน้อย 8-10 แก้วต่อวัน
  • นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ: นอนหลับพักผ่อน 7-9 ชั่วโมงต่อคืน
  • จัดการความเครียด: หาเวลาผ่อนคลาย ฝึกสมาธิ โยคะ หรือทำกิจกรรมที่ช่วยลดความเครียด

 

คำถามที่พบบ่อย

1. จะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์? แพทย์จะวินิจฉัย เบาหวานขณะตั้งครรภ์ โดยทำการตรวจเลือด โดยปกติการตรวจจะทำในช่วงระหว่างสัปดาห์ที่ 24-28 ของการตั้งครรภ์

2. เบาหวานขณะตั้งครรภ์ ส่งผลต่อทารกอย่างไร? หากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม เบาหวานขณะตั้งครรภ์ อาจส่งผลต่อทารก ดังนี้

  • ทารกตัวโต (macrosomia)
  • คลอดก่อนกำหนด (preterm birth)
  • เสี่ยงต่อการเสียชีวิตในครรภ์ (stillbirth)
  • ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำหลังคลอด (neonatal hypoglycemia)
  • เสี่ยงต่อโรคอ้วนและโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ในวัยเด็ก
  • เสี่ยงต่อปัญหาการเรียนรู้และพัฒนาการ 

3. จะต้องทำอะไรบ้างเพื่อรักษา เบาหวานขณะตั้งครรภ์? โดยทั่วไปแล้ว แพทย์จะแนะนำให้ปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต ดังนี้

  • ควบคุมอาหาร
  • ออกกำลังกาย
  • ตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือด
  • ใช้ยา (ในบางกรณี)

4. เบาหวานขณะตั้งครรภ์ หายได้หรือไม่? เบาหวานขณะตั้งครรภ์ มักหายไปเองหลังคลอด แต่ผู้หญิงที่มี เบาหวานขณะตั้งครรภ์ มีโอกาสเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ในอนาคตมากกว่าผู้หญิงทั่วไป

5. ถ้าตั้งครรภ์อีกครั้ง จะเป็น เบาหวานขณะตั้งครรภ์ อีกหรือไม่? หากคุณเคยเป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนตั้งครรภ์ เพื่อวางแผนการดูแลสุขภาพที่เหมาะสม

 

 

 

 

หากคุณมีคำถามเพิ่มเติม หรือมีความกังวลใดๆ โปรดปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และสูตินรีแพทย์เฉพาะทางด้านเวชศาสตร์มารดา และทารกในครรภ์ (MFM) และมีโภชนาการให้คำปรึกษา ที่ โรงพยาบาลพริ้นซ์ ปากน้ำโพ

ศูนย์สุขภาพสตรีให้บริการตรวจ และรักษาโรคสำหรับสุภาพสตรีที่มีปัญหาเกี่ยวกับโรคทางนรีเวช ตั้งแต่การเตรียมตัวมีบุตร การฝากครรภ์ การดูแลทารกในครรภ์มารดา การตั้งครรภ์ที่มีภาวะเสี่ยงทุกชนิด ตลอดจนการคลอด โดยสูตินรีแพทย์ผู้ชำนาญการ, สูตินรีแพทย์เฉพาะทางด้านเวชศาสตร์มารดา และทารกในครรภ์
พร้อมด้วยเทคโนโลยีอันทันสมัยที่ใช้ในการช่วยวินิจฉัย เพื่อเพิ่มความปลอดภัยและเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษา พร้อมให้คำปรึกษาเรื่องอาหารที่เหมาะสมสำหรับหญิงตั้งครรภ์ โดยนักโภชนาการ ประจำโรงพยาบาลพริ้นซ์ ปากน้ำโพ 

 

นัดหมายแพทย์ ติดต่อได้ที่ Tel. 056 000 111 ต่อ 512100 โรงพยาบาลพริ้นซ์ ปากน้ำโพ พร้อมให้บริการทุกวันตั้งแต่ 8.00 – 20.00 น.



ศูนย์การรักษาที่เกี่ยวข้อง

ศูนย์สุขภาพสตรี

ศูนย์สุขภาพสตรี

สถานที่

โรงพยาบาลพริ้นซ์ ปากน้ำโพ 2 ชั้น 1

เวลาทำการ

จ-พ,ศ : 08.30-20.00 ,พฤ : 08.30-16.00 ,ส-อา : 08.00-17.00

เบอร์ติดต่อ

(056) 000 111 ต่อ 500201 ,500202

NCDs

แผนก NCDs

สถานที่

ชั้น1

เวลาทำการ

อ,ศ : 08.00-20.00 , พ,พฤ,ส : 08.00-17.00

เบอร์ติดต่อ

(056) 000 111 ต่อ 510101 ,510102

แพทย์แนะนำ

ศูนย์ศัลยกรรมทั่วไป

พญ.กิติยา จันทรวิถี

พญ.กิติยา จันทรวิถี

ศูนย์ศัลยกรรมทั่วไป

อายุรแพทย์โรคหัวใจและหลอดเลือด

นพ. ลิขิต กำธรวิจิตรกุล

ศัลยเเพทย์ออร์ปิดิกส์

บทความที่เกี่ยวข้อง

โรคเบาหวานคืออะไร? (Diabetes)

เกิดจากความผิดปกติของร่างกายที่มีการผลิตฮอร์โมนอินซูลินไม่เพียงพอ ร่างกายจะไม่สามารถนำน้ำตาลไปใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

โรคเบาหวานคืออะไร? (Diabetes)

เกิดจากความผิดปกติของร่างกายที่มีการผลิตฮอร์โมนอินซูลินไม่เพียงพอ ร่างกายจะไม่สามารถนำน้ำตาลไปใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ