สิทธิข้าราชการ ผ่าตัดนิ่วในถุงน้ำดี(แบบผ่านกล้อง)
03 กันยายน 2567
นิ่วในถุงน้ำดี แบ่งได้เป็น 3 ประเภท ได้แก่
- นิ่วจากคอเลสเตอรอล (Cholesterol Stones) อาจเป็นสีเหลือง ขาว เขียวเกิดจากการตกตะกอนไขมันเนื่องจากคอเลสเตอรอลเพิ่มมากขึ้นในถุงน้ำดี
- นิ่วจากเม็ดสี (Pigment Stones) อาจเป็นสีคล้ำดำ เกิดจากความผิดปกติของเลือด โลหิตจาง และตับแข็ง
- นิ่วโคลน (Mixed Gallstones) เป็นคล้ายโคลน เหนียว หนืด เกิดจากการติดเชื้อใกล้ตับ ท่อน้ำดี และตับอ่อน
อาการนิ่วในถุงน้ำดี มีอะไรบ้าง
โดยทั่วไปอาการของโรค นิ่วในถุงน้ำดี จะไม่มีความผิดปกติแสดงให้เห็น และมักจะตรวจพบโดยบังเอิญจากการตรวจเช็คร่างกาย แต่ในผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการ คล้ายโรคกระเพาะอาหาร หรืออาหารไม่ย่อย
- ท้องอืด,ท้องเฟ้อใต้ลิ้นปี่
- แน่นท้อง อาหารไม่ย่อยหลังรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง
- ปวดใต้ลิ้นปี่ / ชายโครงด้านขวา
- ปวดร้าวที่ไหล่ / หลังขวา
- คลื่นไส้อาเจียน (อาการจากถุงน้ำดีติดเชื้อ)
- มีไข้หนาวสั่น
- ดีซ่าน / ตัว – ตาเหลือง (เมื่อก้อนนิ่วอุดในท่อน้ำดี)
- ปัสสาวะสีเข้ม (เมื่อก้อนนิ่วอุดในท่อน้ำดี)
- อุจจาระสีขาว (เมื่อก้อนนิ่วอุดในท่อน้ำดี)
ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิด นิ่วในถุงน้ำดี
โดยทั่วไปอาการของโรค นิ่วในถุงน้ำดี จะไม่มีความผิดปกติแสดงให้เห็น และมักจะตรวจพบโดยบังเอิญจากการตรวจเช็คร่างกาย แต่ในผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการ คล้ายโรคกระเพาะอาหาร หรืออาหารไม่ย่อย
- ความอ้วน ในคนภาวะอ้วนจะเกิดนิ่วที่มีคอเลสเตอรอล เนื่องจากการบีบตัวของถุงน้ำดีลดลง
- การได้รับฮอร์โมนเอสโตรเจนจากการรับประทาน หรือการตั้งครรภ์ทำให้ระดับคอเลสเตอรอลในน้ำดีสูง
- การได้รับยาลดไขมันบางชนิด ส่งผลให้คอเลสเตอรอลในน้ำดีสูง
- ผู้ป่วยโรคเบาหวาน ที่มีระดับไขมันชนิดไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูง
- การลดน้ำหนักอย่างรวดเร็ว ทำให้ร่างกายละลายไขมันมากไป
ใครคือกลุ่มเสี่ยง นิ่วในถุงน้ำดี
- ผู้หญิงที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป
- ผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป
- ผู้ที่มีภาวะอ้วน น้ำหนักเกินเกณฑ์มาตรฐาน
- ผู้ที่มีคอเลสเตอรอลในเลือดสูง
- ผู้ที่ป่วยโรคเบาหวาน
- ผู้ป่วย โรคเลือด ธาลัสซีเมีย โลหิตจาง
- ผู้หญิงที่เคยตั้งครรภ์
- ผู้ที่ทานยาคุมกำเนิดเป็นประจำ
- ผู้ที่ได้รับฮอร์โมนเสริมจากภาวะหมดประจำเดือน
- ผู้ที่อดอาหาร (ถือศีลอด) หรือลดน้ำหนักตัวอย่างรวดเร็ว
- ผู้ที่ทานยาลดไขมันในเลือดบางชนิด
- ผู้ที่มีพันธุกรรม มีประวัติคนในครอบครัวเคยเป็นโรคนิ่วในถุงน้ำดี
การตรวจวินิจฉัยโรค นิ่วในถุงน้ำดี
โดยทั่วไปการตรวจวินิจฉัยโรคนิ่วในถุงน้ำดี จะเป็นการการพบแพทย์เฉพาะทางเพื่อทำการตรวจวินิจฉัยโดยการทำอัลตราซาวนด์ช่องท้องส่วนบน ซึ่งเป็นการตรวจที่เพียงพอในการตรวจว่ามีนิ่วในถุงน้ำดีหรือไม่ หรืออาจมีภาวะถุงน้ำดีอักเสบ แต่ในบางกรณี เช่น การตรวจหานิ่วในท่อน้ำดี หรือการวินิจฉัยภาวะตับอ่อนอักเสบ อาจจำเป็นต้องใช้การตรวจทางรังสีชนิดพิเศษ เช่น การทำเอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์ (X-ray) หรือ การตรวจโดยเครื่องเอ็กซเรย์คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI)
ในผู้ป่วยรายที่สามารถทำการผ่าตัดได้ แนะนำให้ “ผ่าตัดเอาถุงน้ำดีออก” เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดภาวะแทรกซ้อน และการกลับเป็นซ้ำของโรค “นิ่วในถุงน้ำดี” ซึ่งถือเป็นวิธีการรักษามาตรฐานในการรักษาโรค
“นิ่วในถุงน้ำดี”โดยการผ่าตัดสามารถ แบ่งออกได้เป็น 2 แบบ คือ
1. การผ่าตัดแบบเปิดหน้าท้อง ในกรณีที่มีอาการอักเสบมาก หรือมีภาวะเป็นหนอง โดยการเปิดช่องท้องบริเวณใต้ชายโครง
ด้านขวายาวประมาณ 6 – 7 เซนติเมตรโดยเฉลี่ย การผ่าตัดวิธีนี้ผู้ป่วยจะต้องนอนพักฟื้นที่โรงพยาบาลประมาณ 4 วันและต้องพักฟื้นหลังจากที่ออกจากโรงพยาบาลอีกประมาณ 2-3 สัปดาห์
2. การผ่าตัดผ่านกล้อง (Laparoscopic Surgery) ซึ่งแพทย์จะทำการเจาะรูขนาดเล็กบริเวณหน้าท้อง เพื่อส่องกล้องให้เห็นภาพทุกมิติแล้วจึงตัดขั้วและเลาะถุงน้ำดีให้หลุดออก
การผ่าตัดผ่านกล้องเป็นการผ่าตัดสมัยใหม่ที่ทำให้แผลมีขนาดเล็ก เจ็บน้อย ลดการติดเชื้อ และฟื้นตัวได้เร็ว เมื่อผ่าตัดนำถุงน้ำดีออกไปแล้ว ผู้ป่วยไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับกระบวนการย่อยอาหาร
แต่ควรลดอาหาร ที่มีความมันสูง และรับประทานผักและเนื้อปลามากขึ้นเพื่อให้ห่างไกลจากอาการท้องอืดและมีสุขภาพดีในระยะยาวต่อไป
ศูนย์การรักษาที่เกี่ยวข้อง
แผนกศัลยกรรม
สถานที่
ชั้น2
เวลาทำการ
จ,อ,พ,พฤ,ส : 08.00-20.00 ศ,อา : 08.00-17.00
เบอร์ติดต่อ
(056) 000 111 ต่อ 510401 ,510402